วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

มลพิษทางอากาศ

  มลพิษทางอากาศ

    มลพิษทางอากาศ  (ari pollution)หมายถึงการที่อากาศมีสารเคมีหรือมลสารที่ปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศ ในปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์

            สาเหตุของการเกิดมลพิษทางอากาศพบทั้งที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติและที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์   มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ     เกิดขึ้นจากการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์   โดยการย่อยสลายของจุลินทรีย์ทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ซึ่งก่อให้เกิดกลิ่นเน่าเหม็นและพบว่าการที่น้ำท่วมขังไร่นาเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดแก๊สมีเทน (CH4) ซึ่งแก๊สที่สำคัญในปรากฏการณ์เรือนกระจกด้วย นอกจากนี้การเกิดภูเขาไฟระเบิดทำให้มีการฟุ้งกระจายของแก๊ส และฝุ่น หรือเกิดไฟไหม้ป่าทำให้เกิดกลุ่มควันหรือแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์   รวมทั้งการเกิดพายุทำให้มีฝุ่นละอองฟุ้งกระจายในบรรยากาศ เป็นต้น

                  ก. การเกิดไฟป่า       

             มลพิษทางอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือกิจกรรมในการดำรงชีวิตของมนุษย์มาจากการคมนาคมต่างๆ   ที่มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้วปล่อยแก๊สพิษออกมา  เช่น คาร์บอนไดออกไซด์  คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และ ออกไซด์ของซัลเฟอร์(SOx) เป็นต้น การเผาขยะและการทิ้งขยะก็พบว่าเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ การก่อสร้างทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง  หรือแม้แต่การใช้สารเคมีทางเกษตรฉีดพ่นก็เกิดการฟุ้งกระจายของละอองสารเคมีในอากาศด้วยเช่นกันนอกจากนี้พบว่าโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ก็เป็นแหล่งที่สำคัญในการปล่อยสารพิษออกมาเจือปนในอากาศ        


 

                       ข. ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม

                      1. อนุภาคแขวนลอยในอากาศ มีทั้งที่อยู่ในรูปของแข็ง เช่นฝุ่นละอองจากหิน ดิน ทราย ฝุ่นละอององเถ้าถ่าน  เขม่าควันจากท่อไอเสียรถยนต์และอนุภาคของเหลวในรูปละอองไปในอากาศ

เช่น ละอองของสารกำจัดศัตรูพืช ไอกรดหรือละอองไอของสารเคมีต่างๆเป็นต้นอนุภาคแขวนลอยในอากาศเป็น สาเหตุ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคทางเดินหายใจ โรคปอด 

                       2. คาร์บอนมอนอกไซด์ เกิดจากการเผ้าไหม้แบบไม่สมบูรณ์ของสารประกอบคาร์บอน เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหิน นำมันปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ คาร์บอนมอนอกไซด์จากไอเสียรถยนต์จะลอยตัวเข้าสะสมกับอากาศได้ง่าย   และลอยขึ้นไปในระยะสูงๆ ได้ ดังนั้นผู้ที่อาศัยอยู่บนตึกสูง จึงได้รับมลสารชนิดนี้ในปริมาณใกล้เคียงกับผู้ที่อาศัยอยู่ในระดับข้างล่าง   คาร์บอนมอนอกไซด์ที่หายใจเข้าไปจะไปสะสมกับสารเฮโมโกบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง   ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงลำเลียงแก๊สออกซิเจนได้น้อยลง    อาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนได้ถ้าเป็นเช่นนี้นานๆจะทำให้เกิดสายตาพร่ามัว ความจำเสื่อมหายใจเร็วเจ็บหน้าอก ถ้าได้รับในปริมาณมากทำให้ หมดสติและเสียชีวิตได้                                                                                                                         


                          ค. ควันจากท่อไอเสียรถยนต์




                   3. คาร์บอนไดออกไซด์ เกิดจากการเผาไม้ที่สมบูรณ์ของธาตุคาร์บอนหรือสารอินทรีย์ รวมกับการหายใจของพืชและสัตว์ที่ปล่อยออกมา   ปกติแล้วธรรมชาติจะมีกลไกในการควบคุมปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการดูดซึมของพืชไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง   แต่เมื่อมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากยานพาหนะ การเผาขยะ การเผาป่าไม้เพิ่มมากขึ้น เมื่อคนสูดดมแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปจะเกิดการมึนงง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย 

                 4.ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มีกำมะถันผสมอยู่ได้แก่  ถ่านหินลิกไนต์  น้ำมันดีเซล  น้ำมันเตา  น้ำมันปิโตรเลียม  ฟืน  ถ่านไม้  การถลุงแร่  ทำให้ธาตุกำมะถันที่เจือปนอยู่ในสินแร่รั่วไหลออกมาระหว่างกระบวนการถลุง  และเมื่อรวมตัวกับแก๊สออกซิเจนในอากาศกลายเป็นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เมื่อซัลเฟอร์ไดออกไซด์ปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศกลายเป็นซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) มักเรียกรวมกันว่า  ออกไซด์ของซัลเฟอร์ (SOx) นอกจากนี้ SO3 สามารถรวมกับไอน้ำในอากาศกลายเป็นกรดซัลฟิวริก (H2SO4) หรือกรดกำมะถันทำให้เกิดฝนกรดมีฤทธิ์ในการกัดกร่อน  ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอันตรายต่อพืช  สัตว์และมนุษย์  ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทำให้พืชมีใบสีเหลืองไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้  ในสัตว์จะมีอาการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง  นัยน์ตา เป็นมะเร็งปอด 

                5. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน  มีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเช่น   แก๊สมีเทน  เกิดจากการเน่าเปื่อยของสารอินทรีย์  ซากพืช  ซากสัตว์และพบได้ในแก๊สธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิง  นอกจากนั้นยังเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์  เช่น จากการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิง  การเผาไหม้ถ่านหิน  การระเหยของน้ำมันปิโตรเลียม  การระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ออกมาทางท่อไอเสียที่เรียกว่าควันขาว  ไฮโดรคาร์บอนจะทำปฏิกิริยากับออกไซด์ของไนโตรเจนและออกซิเจนในอากาศทำให้เกิดเป็นหมอกควัน  เมื่อมนุษย์สูดสารพิษชนิดนี้เข้าไป  ทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ  เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ  เป็นมะเร็งปอด

                 6. ตะกั่ว  เป็นโลหะสีเทาเงินเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในเปลือกโลก  สารตะกั่วอยู่ในรูปสารประกอบอนินทรีย์  เช่น  ไนเตรต  คลอเรต  ซึ่งใช้เป็นสารเติมผสมในน้ำมันเบนซิน  เมื่อน้ำมันเผาไหม้ในรถยนต์  สารตะกั่วจะออกมากับไอเสีย  สามารถแพร่กระจายไปได้ไกลหลายกิโลเมตร  ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ  สารตะกั่วเหล่านนี้เป็นสารพิษที่ไม่สลายตัวเมื่อสูดดมเข้าไปจะสะสมอยู่ในปอดและกระแสเลือดทำลายระบบประสาท  มีพิษต่อระบบทางเดินอาหาร  ทำให้การย่อยอาหารผิดปกติ  เบื่ออาหาร  ปวดท้องรุนแรง  ทำลายการทำงานของไขกระดูก  ทำให้เม็ดเลือดแดงอายุสั้น  เป็นโรคโลหิตจาง  นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งปอด  โรคหัวใจ  โรคหอบหืดอีกด้วย

                   7. ปรอท ปะปนอยู่ในอากาศในรูปของไอปรอท  เพราะปรอทสามารถกลายเป็นไอได้อุณหภูมิปกติ  มีแหล่งกำเนิดจากโรงงานผลิตคอมพิวเตอร์  โรงงานผลิตเครื่องสำอาง  โรงงานกระดาษ  สารปราบศัตรูพืช    ไอปรอทที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ  เมื่อเข้าไปพร้อมกับลมหายใจจะเกิดอาการหนาวสั่น  แน่นหน้าอก  ถ้าเป็นสารประกอบของปรอทที่ปะปนเข้าไปกับอาหารจะสะสมอยู่ในร่างกาย  ทำให้ปวดท้อง  อาเจียน  ปวดกล้ามเนื้อ  มีผลต่อระบบประสาท  ทำลายสมองและตา  ซึ่งเป็นอาการของโรคมินามาตะ



               8.  แคดเมียม ที่พบในอากาศจะอยู่ในรูปฝุ่นหรือไอจากยานพาหนะ  หรือจากกระบวนการหลอม  พ่น  ฉาบโลหะ  เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสะสมอยู่ในไต  ทำลายเซลล์ของหน่วยไต  และมีการสะสมในกระดูก  ทำให้กระดูกผุกร่อน  เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงเรียกว่า  โรคอิไตอิไต


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทรัพยากรธรรมชาติ

   ทรัพยากรธรรมชาติ            ทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) หมายถึง สิ่งที่ได้มาจากธรรมชาติซึ่งมีประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์โดย...