มลพิษทางอากาศ
มลพิษทางอากาศ (ari pollution)หมายถึงการที่อากาศมีสารเคมีหรือมลสารที่ปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศ ในปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์
สาเหตุของการเกิดมลพิษทางอากาศพบทั้งที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติและที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดขึ้นจากการสลายตัวของซากพืชซากสัตว์ โดยการย่อยสลายของจุลินทรีย์ทำให้เกิดแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ซึ่งก่อให้เกิดกลิ่นเน่าเหม็นและพบว่าการที่น้ำท่วมขังไร่นาเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดแก๊สมีเทน (CH4) ซึ่งแก๊สที่สำคัญในปรากฏการณ์เรือนกระจกด้วย นอกจากนี้การเกิดภูเขาไฟระเบิดทำให้มีการฟุ้งกระจายของแก๊ส และฝุ่น หรือเกิดไฟไหม้ป่าทำให้เกิดกลุ่มควันหรือแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งการเกิดพายุทำให้มีฝุ่นละอองฟุ้งกระจายในบรรยากาศ เป็นต้น
ก. การเกิดไฟป่า
มลพิษทางอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือกิจกรรมในการดำรงชีวิตของมนุษย์มาจากการคมนาคมต่างๆ ที่มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้วปล่อยแก๊สพิษออกมา เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และ ออกไซด์ของซัลเฟอร์(SOx) เป็นต้น การเผาขยะและการทิ้งขยะก็พบว่าเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ การก่อสร้างทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง หรือแม้แต่การใช้สารเคมีทางเกษตรฉีดพ่นก็เกิดการฟุ้งกระจายของละอองสารเคมีในอากาศด้วยเช่นกันนอกจากนี้พบว่าโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ก็เป็นแหล่งที่สำคัญในการปล่อยสารพิษออกมาเจือปนในอากาศ
ข. ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม
1. อนุภาคแขวนลอยในอากาศ มีทั้งที่อยู่ในรูปของแข็ง เช่นฝุ่นละอองจากหิน ดิน ทราย ฝุ่นละอององเถ้าถ่าน เขม่าควันจากท่อไอเสียรถยนต์และอนุภาคของเหลวในรูปละอองไปในอากาศ
เช่น ละอองของสารกำจัดศัตรูพืช ไอกรดหรือละอองไอของสารเคมีต่างๆเป็นต้นอนุภาคแขวนลอยในอากาศเป็น สาเหตุ ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคทางเดินหายใจ โรคปอด
2. คาร์บอนมอนอกไซด์ เกิดจากการเผ้าไหม้แบบไม่สมบูรณ์ของสารประกอบคาร์บอน เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหิน นำมันปิโตรเลียม แก๊สธรรมชาติ คาร์บอนมอนอกไซด์จากไอเสียรถยนต์จะลอยตัวเข้าสะสมกับอากาศได้ง่าย และลอยขึ้นไปในระยะสูงๆ ได้ ดังนั้นผู้ที่อาศัยอยู่บนตึกสูง จึงได้รับมลสารชนิดนี้ในปริมาณใกล้เคียงกับผู้ที่อาศัยอยู่ในระดับข้างล่าง คาร์บอนมอนอกไซด์ที่หายใจเข้าไปจะไปสะสมกับสารเฮโมโกบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงลำเลียงแก๊สออกซิเจนได้น้อยลง อาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนได้ถ้าเป็นเช่นนี้นานๆจะทำให้เกิดสายตาพร่ามัว ความจำเสื่อมหายใจเร็วเจ็บหน้าอก ถ้าได้รับในปริมาณมากทำให้ หมดสติและเสียชีวิตได้
ค. ควันจากท่อไอเสียรถยนต์
3. คาร์บอนไดออกไซด์ เกิดจากการเผาไม้ที่สมบูรณ์ของธาตุคาร์บอนหรือสารอินทรีย์ รวมกับการหายใจของพืชและสัตว์ที่ปล่อยออกมา ปกติแล้วธรรมชาติจะมีกลไกในการควบคุมปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการดูดซึมของพืชไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่เมื่อมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากยานพาหนะ การเผาขยะ การเผาป่าไม้เพิ่มมากขึ้น เมื่อคนสูดดมแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปจะเกิดการมึนงง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย
4.ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มีกำมะถันผสมอยู่ได้แก่ ถ่านหินลิกไนต์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันปิโตรเลียม ฟืน ถ่านไม้ การถลุงแร่ ทำให้ธาตุกำมะถันที่เจือปนอยู่ในสินแร่รั่วไหลออกมาระหว่างกระบวนการถลุง และเมื่อรวมตัวกับแก๊สออกซิเจนในอากาศกลายเป็นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เมื่อซัลเฟอร์ไดออกไซด์ปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศกลายเป็นซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) มักเรียกรวมกันว่า ออกไซด์ของซัลเฟอร์ (SOx) นอกจากนี้ SO3 สามารถรวมกับไอน้ำในอากาศกลายเป็นกรดซัลฟิวริก (H2SO4) หรือกรดกำมะถันทำให้เกิดฝนกรดมีฤทธิ์ในการกัดกร่อน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์และมนุษย์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทำให้พืชมีใบสีเหลืองไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ ในสัตว์จะมีอาการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง นัยน์ตา เป็นมะเร็งปอด
5. สารประกอบไฮโดรคาร์บอน มีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเช่น แก๊สมีเทน เกิดจากการเน่าเปื่อยของสารอินทรีย์ ซากพืช ซากสัตว์และพบได้ในแก๊สธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิง นอกจากนั้นยังเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น จากการเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิง การเผาไหม้ถ่านหิน การระเหยของน้ำมันปิโตรเลียม การระเหยของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ออกมาทางท่อไอเสียที่เรียกว่าควันขาว ไฮโดรคาร์บอนจะทำปฏิกิริยากับออกไซด์ของไนโตรเจนและออกซิเจนในอากาศทำให้เกิดเป็นหมอกควัน เมื่อมนุษย์สูดสารพิษชนิดนี้เข้าไป ทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ เป็นมะเร็งปอด
6. ตะกั่ว เป็นโลหะสีเทาเงินเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในเปลือกโลก สารตะกั่วอยู่ในรูปสารประกอบอนินทรีย์ เช่น ไนเตรต คลอเรต ซึ่งใช้เป็นสารเติมผสมในน้ำมันเบนซิน เมื่อน้ำมันเผาไหม้ในรถยนต์ สารตะกั่วจะออกมากับไอเสีย สามารถแพร่กระจายไปได้ไกลหลายกิโลเมตร ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ สารตะกั่วเหล่านนี้เป็นสารพิษที่ไม่สลายตัวเมื่อสูดดมเข้าไปจะสะสมอยู่ในปอดและกระแสเลือดทำลายระบบประสาท มีพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้การย่อยอาหารผิดปกติ เบื่ออาหาร ปวดท้องรุนแรง ทำลายการทำงานของไขกระดูก ทำให้เม็ดเลือดแดงอายุสั้น เป็นโรคโลหิตจาง นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งปอด โรคหัวใจ โรคหอบหืดอีกด้วย
7. ปรอท ปะปนอยู่ในอากาศในรูปของไอปรอท เพราะปรอทสามารถกลายเป็นไอได้อุณหภูมิปกติ มีแหล่งกำเนิดจากโรงงานผลิตคอมพิวเตอร์ โรงงานผลิตเครื่องสำอาง โรงงานกระดาษ สารปราบศัตรูพืช ไอปรอทที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ เมื่อเข้าไปพร้อมกับลมหายใจจะเกิดอาการหนาวสั่น แน่นหน้าอก ถ้าเป็นสารประกอบของปรอทที่ปะปนเข้าไปกับอาหารจะสะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ปวดท้อง อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ มีผลต่อระบบประสาท ทำลายสมองและตา ซึ่งเป็นอาการของโรคมินามาตะ
8. แคดเมียม ที่พบในอากาศจะอยู่ในรูปฝุ่นหรือไอจากยานพาหนะ หรือจากกระบวนการหลอม พ่น ฉาบโลหะ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสะสมอยู่ในไต ทำลายเซลล์ของหน่วยไต และมีการสะสมในกระดูก ทำให้กระดูกผุกร่อน เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงเรียกว่า โรคอิไตอิไต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น